ภาพยนตร์ชื่อดังที่มากับ Visual Effect
Visual Effect เทคนิค Stop Motion
เทคนิค Stop Motion เป็นเทคนิคชั้นครูที่เกิดจากการประยุกต์ของ วิลลิส โอเบรียน ผู้ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานสร้าง Visual Effect ที่โดดเด่นนี้ และแน่นอนว่าในภาพยนตร์อีกเรื่องที่สร้างชื่อในด้านเทคนิคพิเศษให้กับโอเบรียนและคณะอย่างมากอีกเรื่อง นั่นก็คือ King Kong เมื่อปี 1933 เป็นผลงานสร้างชื่อระดับมาสเตอร์พีซที่ใช้เทคนิคการทำ Stop Motion ชั้นยอดในการทำให้โมเดลดินน้ำมันที่ผ่านการแต่งขน แต่งสีผิวของคิงคองดินน้ำมันหรือไดโนเสาร์หลากหลายพันธุ์ เคลื่อนไหวด้วยการจับมันจัดท่าทางทีละเฟรมแล้วถ่ายภาพ จากนั้นก็จับมันขยับอีกส่วนหนึ่งแล้วถ่ายไปเรื่อยๆตามบทบาทที่วางไว้ใน Story Board แล้วจึงตัดต่อรวมฟิล์มเข้ากับฟุตเตจที่ถ่ายกับคน หรือตัดเข้ากับฉากย่อส่วนที่ถ่ายทำไว้ก่อนหน้าแล้ว
ภาพยนต์ที่ใช้เทคนิค Stop Motion ในเรื่องต่อมาๆอย่าง The Beast from 20,000 Fathom หรือจะเป็น the Valley of Gwangi ซึ่งเป็นผลงานในการทำ Stop Motion ของ เรย์ อารี เฮาน์เซ่น ปรมาจารย์ด้านเทคนิคพิเศษและยังเป็นศิษย์เอกโดยตรงของโอเบรียน สามารถทำให้วงการภาพยนตร์ในช่วงกลางยุค 50 เป็นต้นไปนั้น บูมอย่างมาก หลากหลายเรื่องนั้นใช้เทคนิคดังกล่าวในการสร้างฉากเด็ดๆออกมามากมาย และต่อมานั้น เทคนิคในการทำภาพเสมือนจริงก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงประมาณ ต้นยุค 90 ที่มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจากฝีมือผู้กำกับอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นคนนั่งแท่นผู้กำกับ และยังทำให้หลายคนที่ได้ดู หรือคนทั่วโลกที่ได้ชม รู้สึกทึ่งกับงานสร้างชั้นยอดนี้
Visual Effect เทคนิค 3d Animation
ด้วยผลงานในการออกแบบงานด้านหุ่นกล ที่ใช้วิทยุบังคับ ผสมผสานกับเทคนิคการออกแบบและทำ Animation ด้วย 3D Computer Graphic เต็มรูปแบบนั้น ถูกถ่ายทอดผ่านทางภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลอย่าง “Jurassic Park” เมื่อปี 1993 ที่สามารถสร้างไดโนเสาร์ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว มีอากับกริยาที่เหมือนสิ่งมีชีวิตของจริงและกำลังอยู่ตรงหน้านักแสดงราวกับมันมีตัวตนและจับต้องได้อีกด้วย ซึ่งเทคนิคชั้นยอดในการทำ CG นี้นับว่าเป็นงานระดับขึ้นหิ้งที่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้อย่างมาก
การทำ CG ให้กับภาพยนตร์ Jurassic Park นั้น เป็นผลงานในการสร้างสรรค์จากสตูดิโอของ สแตน วิลสตัน ซึ่งเป็นเสมือนราชาของการทำเทคนิคพิเศษอีกคนหนึ่งที่พัฒนางานมาตั้งแต่ช่วงยุค 80 มาแล้ว การออกแบบคาแรคเตอร์ต่างๆ การสร้าง Prop Model การสร้างหุ่นสเกลเท่าของจริงหรือในอัตราส่วนย่อ และการทำด้วย คอมพิวเตอร์กราฟิกให้พร้อมสำหรับตัดต่อลงบนฟิล์มภาพที่ถ่ายทำไว้แล้ว สอดผสานกันได้อย่างลงตัว อีกทั้ง ใน Jurassic Park อีก 2 ภาคนั้น ทีมงานของ สแตน วินสตัน ก็ยังมีบทบาทในการทำ CG หรือคอมพิวเตอร์กราฟิกและ Visual Effect ให้อยู่เหมือนเคย แถมไม่เพียงเท่านั้น ค่ายดังอย่าง 20th Century Fox ยังได้ไหว้วานให้บริษัทของสแตน วินสตัน ออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟิกและหุ่นกลสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เกี่ยวกับจระเข้น้ำเค็มยักษ์อย่าง Lake Placid เมื่อปี 1999 อีกด้วย ซึ่งผลตอบรับทั้งเนื้อเรื่อง นักแสดง การถ่ายทำ มุมกล้อง ฉาก และเทคนิคพิเศษนั้น ผู้ชมต่างซูฮกให้อย่างมากเลยจริงๆ
ก่อนที่ความบูมของภาพยนตร์แนวนี้จะดาวน์เกรดลงไปเป็นการทำ CG Visual Effect แบบหยาบให้กับภาพยนตร์เกรด B ที่เน้นฉายทางทีวีหรือลงแผ่น DVD แทน แต่กระนั้นแล้ว ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่องที่ต้องใช้ คอมพิวเตอร์กราฟิก เข้ามามีบทบาท ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะกับที่เราคุ้นเคยกันอย่างดีก็อย่างเช่น
- แฮรี่ พ็อตเตอร์ ทั้งหมด 8 ภาค ที่มีการเนรมิตฉากเด็ดๆ การร่ายคาถาด้วย CG หรือการสร้างสัตว์ประหลาดประจำเรื่องหลายๆตัวขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก
- The Lord of the Ring ถ้าใครจำตัวละครอย่าง กอลลัม ได้ก็นั่นแหละ คืองานสร้างสรรค์ออกมาด้วย CG
- Transformers ของไมเคิล เบย์ เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากการ์ตูนอนิเมชั่นแบบ 2 มิติในยุค 80 และมีการสร้างต่อมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน รวมถึงยังมีในรูปแบบ 3D อีกด้วย แต่สำหรับในเวอร์ชั่นภาพยนตร์จอเงินนั้น การออกแบบ CG เพื่อให้หุ่นยนต์ในเรื่องเคลื่อนไหวได้เหมือนจริง ตามหลักกลศาสตร์ และการออกแบบโดย Animator ที่ต้องออกแบบช็อตในการแปลงร่างไปมาจากรถกลายเป็นหุ่น จากหุ่นกลายเป็นรถ จึงถือว่าเป็นงานด้าน CG ชั้นยอดที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้อย่างแน่นอน
สำหรับในประเทศไทยนั้น หลายคนอาจจะค่อนขอดในเรื่องที่ว่า ทำ CG Visual Effect ได้ไม่เนียน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำ CG ให้กับภาพยนตร์นั้นถ้าหากจะให้งานออกมาเหมือนจริงนั้นทำได้ แต่อยู่ที่งบประมาณ และความสามารถในการ Render ของคอมพิวเตอร์ ต้องมี Spec เครื่องที่สูงมากอีกด้วยนั่นเอง แต่อย่างน้อยๆ งาน CG ที่มีหลายคนให้การยกย่องก็ยังมีอยู่มากมายเช่นกัน ทุกอย่างอยู่ที่เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
No comments