Microsoft ประกาศเปิดตัว Paint 3D เมื่อการแต่งโมเดลสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
สำหรับใครก็ตามที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Window อยู่ เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักโปรแกรมติดเครื่องที่ชื่อว่า Paint มาไม่มากก็น้อยเป็นแน่ โดยโปรแกรม Paint ถือเป็นโปรแกรมแต่งภาพที่เราสามารถใช้งานได้ฟรี และมีประสิทธิภพในระดับหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่เข้ามาบทความนี้จะต้องไม่เคยใช้โปรแกรม Paint หรือใช้งานมันเพียงเล็กน้อยเป็นแน่ แต่หลังจากนี้คุณจะไม่กล้าปฏิเสธมันอีกแล้ว เพราะเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ทาง Microsoft ได้ทำการจัดงานโชว์เทคโนโลยีขึ้น ณ เมืองนิวยอร์ก และได้เผยเทคโนโลยีเด็ดๆ ออกมามากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ “Paint 3D” การกลับมาอีกครั้งของโปรแกรม Paint ที่จะอัพเกรดตัวเองให้เจ๋งมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่า Paint 3D จะไม่ใช่ดาวเด่นภายในงานนี้ก็ตาม แต่ก็ถือเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์อยู่พอสมควรเลยทีเดียว โดยทาง Microsoft ได้ระบุไว้ว่า “Paint 3D จะสามารถใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ Window 10 เท่านั้น” ซึ่งพวกเขามีเป้าหมายที่ต้องการให้งานภาพแบบ 3D เป็นงานที่ทำได้ง่ายๆ ใครก็สามารถทำได้ โดยการอัพเดทซอฟต์แวร์ Paint ในครั้งนี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพวัตถุผ่านกล้องบนอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Window 10 ของตน และมาแปลงภาพบางส่วนให้เป็นโมเดล 3D หรือจะเปลี่ยนจากโมเดล 3D มาเป็นภาพ 2D ก็ยังได้ โดย Brush ทั้งหมดที่เป็น 2D ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปากกาหรือดินสอจะสามารถใช้กับงานวัตถุ 3D ได้ อีกทั้งสติกเกอร์ยังสามารถติดลงบนภาพ 2D และทำเป็น 3D ได้อีกด้วย ทั้งนี้ตัวระบบยังได้เชื่อมต่อกับ HoloLens แว่น AR ขั้นเทพของ Microsoft จึงทำให้เราสามารถใส่ HoloLens และมองภาพ 3D ของเราในลักษณะ AR ได้
และด้วยสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์คในปัจจุบัน ทำให้ตัวซอฟต์แวร์ถูกพัฒนาให้สามารถแชร์ผลงานออกไปยังกลุ่มออนไลน์รูปแบบใหม่ได้ และนอกจากการแชร์ ตัวซอฟต์แวร์ยังโฟกัสไปที่เกม Minecraft ที่ผู้เล่นทุกคนจะสามารถใช้แอป หรือซอฟต์แวร์ตัวนี้มาใช้สร้างสรรค์ผลงานของพวกเขาบนเกมได้อย่างอิสระ และเปิดกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม Paint 3D ยังเปิดกว้างให้เราสามารถ Export ผลงานมาใช้กับซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ ได้ โดย Paint 3D เวอร์ชั่นใหม่นี้ มีกำหนดเปิดให้บริการและดาวน์โหลดพร้อมกันภายในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และผมเชื่อว่า Paint จะกลับมากลายเป็นซอฟต์แวร์ยอดฮิตสำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
แหล่งที่มา theverge
No comments